วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ประโยชน์ดี ๆ จากน้ำพริกกะปิ ชะอมชุบไข่ทอด

 น้ำพริกกะปิ ชะอมทอด

น้ำพริกกะปิ ชะอมทอด


ขึ้นชื่อว่าน้ำพริกกะปิเหมือนกัน แต่รสชาติอาจไม่เหมือนกัน คุณผู้อ่านหลายท่าน อาจจะเคยได้กินน้ำพริกกะปิกันมาพอสมควร ถ้าสังเกตในรสชาติกันดี ๆ จะรู้เลยว่าแต่ละร้าน แต่ละถิ่น แต่ละคนทำรสชาติไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างกันอยู่ในน้ำพริกกะปิถ้วยนั้น ๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะการทำกะปิในแต่ละที่ มีวิธีการทำไม่เหมือนกันนั่นเอง และวัตถุดิบที่นำมาทำกะปิ เช่น กุ้งฝอย หรือเคย ก็มาจากแหล่งน้ำคนละอย่าง บางที่ก็นำมาจากทะเลน้ำเค็ม บางที่ก็นำมาจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่เป็นน้ำจืด เช่น ห้วย หนอง คลอง บึงทั่วไป ตรงนี้แหละที่มีส่วนมาก ๆ ที่ทำให้รสชาติกะปิไม่เหมือนกัน และที่สำคัญคือวิธีการทำกะปิของแต่ละคนนั่นเอง 

น้ำพริกกะปิที่ทำเสร็จแล้ว
ตัวผู้เขียนเองเป็นคนนึงที่มักจะทำน้ำพริกกะปิไว้กินเอง เพราะน้ำพริกกะปิกินกับผักได้หลายชนิด แต่ที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็จะเป็นชะอมทอดกับไข่ ซึ่งเมื่อนำมากินกับน้ำพริกกะปิแล้วมันเข้ากันได้ดี จากรสชาติของชะอมที่มีกลิ่นแรง พอนำมาทอดกับไข่แล้ว กลายเป็นความหอมอร่อย   ยิ่งมากินกับน้ำพริกกะปิที่ตำได้อย่างถึงเครื่องถึงรส ด้วยแล้วทำให้มื้อนั้นอาจจะลืมกับข้าวอื่นไปเลยก็ได้ค่ะ
น้ำพริกกะปิ กับชะอมชุบไข่ทอด
จริง ๆ แล้วถ้ามื้อไหนตำน้ำพริกกะปิ ก็จะต้องมีชะอมทอดด้วย เหมือนต้องทำสองเมนูในมื้อเดียวนั่นแหละ แต่จะทอดอย่างไร ให้ชะอม ออกมาเป็นแผ่นสวยน่ากิน และอร่อยด้วย หลายคนทำไม่เป็นนะการทอดชะอมเนี่ย  แต่ไม่ยากเกินความสามารถแม่ครัวหัวป่าอย่างเราหรอกค่ะ  เพราะผู้เขียนก็หัดทำจากทอดไม่เป็นแผ่น อมน้ำมันไม่อร่อย บางครั้งก็เละด้วยซ้ำไป หัดทำอยู่หลายรอบกว่าจะสำเร็จเป็นแผ่นสวยน่ากินและอร่อยด้วยค่ะ เดี๋ยวผู้เขียนจะพาทำทั้งสองอย่างเลย ทั้งวิธีตำน้ำพริกกะปิ และ วิธีทอดชะอม จะได้ครบจบในมื้อเดียว  มาดูวัตถุดิบ และเครื่องปรุง ทั้งสองอย่าง ว่ามีอะไรบ้างจะได้เตรียมได้ครบค่ะ 

สำหรับน้ำพริก

  1. กะปิดี 

  2. มะนาว

  3. น้ำตาลทรายขาว

  4. พริกขี้หนูสวนเลือกสีแดงมากกว่า

  5. กระเทียม

  6. มะเขือพวง

  7. ผงปรุงรส (ใส่ตามใจชอบ) 

  8. น้ำเปล่า

วิธีทำ 

  1. ตำพริกขี้หนู กับกระเทียมให้ละเอียดก่อน เผ็ดมากเผ็ดน้อยใส่พริกตามชอบค่ะ 

  2. ใส่มะเขือพวงลงไปบุบ ไม่ต้องให้เละนะใส่น้ำตาลกับน้ำมะนาวลงไป คนให้เข้ากัน

  3. นำกะปิลงไปตำให้เข้ากัน เติมผงปรุงรส

  4. ชิมดูให้ออกรส เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด แซ่บ 

การบุบมะเขือพวงใส่ลงไปด้วย ช่วยให้รสชาติน้ำพริกดีขึ้นค่ะ


ส่วนผสม และวิธีทำชะอมทอด

  1. ยอดชะอมอ่อน

  2. ไข่เป็ดหรือไข่ไก่

  3. แป้งสำหรับทอดกรอบ

  4. ผงรสดี

  5. น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ

  • นำไข่มาตีให้ขึ้นฟองก่อน 

  • แล้วนำแป้งผสมกับน้ำนิดหน่อยละลายให้เข้ากันดี แล้วค่อยนำมาตีใส่ไข่ เติมผงรสดีนิดหน่อย

  • นำยอดชะอมที่รูดเอาแต่ใบไว้แล้ว ใส่ลงผสมกับไข่ คนให้เข้ากัน 

  • นำลงไปทอดกับน้ำมัน ใส่น้ำมันให้มากกว่าการเจียวไข่นะคะ 

  • ทอดให้สุกเหลืองทั่วกัน นำขึ้นพักไว้ให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ พอดีคำได้เลยค่ะ 

เพียงเท่านี้เราก็จะได้ทั้งน้ำพริกกะปิที่อร่อย และผักทอดสำหรับจิ้มเป็นเครื่องเคียงแล้วค่ะ กินกับข้าวหอมของไทยนะ เข้ากันดีแท้


เมนูนี้บอกเลยประโยชน์เพียบค่ะ ตัวกะปิเองก็มีโปรตีนจากเนื้อกุ้งอยู่แล้ว  ยอดชะอมก็มีสรรพคุณและ ประโยชน์มากมายที่เป็นผลดีกับร่างกายเรา ตัวผู้เขียนได้ไปค้นหา ประโยชน์จากยอดชะอม มาให้คุณผู้อ่านคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ 

  • มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา (ใช้สายตากับหน้าจอนาน ๆ กินบ่อย ๆ คงดี) 

  • มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง

  • กากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่าย

  • ยอดชะอม ช่วยลดความร้อนในร่างกาย บ้านเราเมืองร้อนเหมาะกับการกินยอดชะอม

แต่การกินยอดชะอม ก็มีข้อควรระวังอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ 

  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์ ให้กินแต่น้อย เพราะชะอมมีกรดยูริกสูง หรือคนที่มีอาการของโรคค่อนข้างหนักก็ไม่ควรกิน อาจทำให้มีอาการปวดตามข้อรุนแรงขึ้นค่ะ

  • หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมลูก ไม่ควรกินเพราะจะทำให้น้ำนมแห้งได้ 

  • หน้าฝน ชะอมจะมีกลิ่นฉุนแรงกว่าปกติ และอาจมีรสเปรี้ยว อาจทำให้มีอาการปวดท้องได้ ควรระวังด้วยค่ะ

  • ก่อนนำชะอมมาทำอาหาร ควรล้างให้สะอาด และปรุงให้สุก เพื่อป้องกัน สารปนเปื้อนที่ติดมากับผัก ที่อาจทำให้เกิดโรคท้องร่วงได้ค่ะ 

ชะอมชุบไข่ทอด หั่นชิ้น
เป็นอย่างไรบ้างคะ ประโยชน์มากมายเลยค่ะ และก็อย่าลืมข้อควรระวังด้วยนะคะ ก่อนนำชะอมมาทำอาหารค่ะ


    น้ำพริกกะปิเมนูบ้าน ๆ ที่ทำกินเองได้ทำขายก็ดี เครื่องปรุงหาง่าย ซื้อได้ตามตลาดทั่วไป ได้ทั้งความอร่อย ได้ทั้งประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร ถ้ามื้อต่อไปยังคิดไม่ออกว่าจะกินข้าวกับอะไร ลองตำน้ำพริกกะปิ กินคู่กับชะอมทอดดูค่ะ แล้วจะติดใจในรสชาติ เมนูบ้าน ๆ ที่ข้าวจานเดียวไม่เคยพอ …


ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ตามลิงก์ด้านล่าง 👇👇👇👇


Blogger

Blockdit

YouTube

fanpage facebook

ทักทาย สอบถาม

Line


Facebook

_____________________

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

แกงปลาดุกใบยอ

 แกงปลาดุกใบยอ 



ใบยอ นอกจากนำมาทำห่อหมกได้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดเลยสำหรับคนที่ชอบอาหารไทย แบบบ้าน ๆ ด้วยรสชาติเฉพาะตัวของใบยอ เมื่อนำมาทำแกง อร่อยอย่าบอกใครเชียวค่ะ  แต่ก็มีหลายคนที่มักจะบอกว่า ใบยอมีรสขม ทำให้ตอนกินรู้สึกได้ถึงรสที่อาจจะไม่ชอบ  ผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกแบบนั้นค่ะ คือไม่ค่อยชอบรสขมนิด ๆ ของใบยอ แต่ชอบความหอมความอร่อยของแกง จึงได้หาวิธีทำแกงใบยออย่างไรให้ลดความขมของใบยอ แต่ยังคงความหอมของใบยอเอาไว้ค่ะ เพื่อจะได้ทำเมนูนี้กินได้บ่อย ๆ ได้ไม่มีเบื่อ 


เชื่อว่าหลายคนคงเคยกินแกงปลาดุกใบยอกันบ้างแล้ว ความอร่อยก็จะอยู่ที่ใบยอนั่นแหละค่ะ และอีกอย่างด้วยความหอมเครื่องแกงเผ็ด ที่มีแต่สมุนไพรไทย ทำให้มีกลิ่นที่เย้ายวนชวนน้ำลายสอยิ่งขึ้นไปอีก กับชิ้นปลาดุกชิ้นโต ๆ หน่อยนะหืม ! เนื้อแน่น ๆ ไม่ยุ่ยง่าย อร่อยเวอร์ค่ะ และอีกอย่างนะคะแกงใบยอเนี่ย ผู้เขียนลองนำไปแกงกับปลาชนิดอื่นแล้ว บอกเลยไม่อร่อยเท่าปลาดุกค่ะ มันคืออร่อยเฉพาะสูตรเค้าเลยค่ะ แสดงว่าแม่ครัวหรือคนทำอาหารสมัยก่อน เค้าคงทดลองมาแล้ว ว่าต้องใส่ปลาชนิดนี้เท่านั้นจึงจะเข้ากัน   ความอร่อยเริ่มตั้งแต่การเลือกเก็บใบยอเลยค่ะ เลือกเอาแต่ยอดอ่อน ๆ นะคะ เพราะยิ่งแก่ก็ยิ่งมีรสขมค่ะ   ปลาก็เลือกตัวใหญ่หน่อยค่ะ ชิ้นจะได้น่ากิน เครื่องแกงก็ตำใหม่ ๆ จะได้มีกลิ่นหอมแรง เพราะเราแกงใส่ปลาที่มีกลิ่นคาว ถ้าเครื่องแกงไม่หอมจะดับกลิ่นคาวของปลาไม่ได้ค่ะ จะทำให้เสียรสชาติไปด้วย


เดี๋ยวผู้เขียนจะพาทำแกงปลาดุกใบยอยังไงให้อร่อยค่ะ เริ่มแรกเราไปดู วัตถุดิบ และเครื่องปรุงกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง



วัตถุดิบ

  1. ปลาดุกหั่นเป็นชิ้น 

  2. ใบยอเลือกแต่ยอดอ่อน ๆ 

  3. พริกแกงเผ็ด

  4. หัวและหางกะทิ

  5. น้ำปลา

  6. น้ำตาลทราย

  7. ผงปรุงรส

  8. น้ำเปล่า

วิธีทำ

  1. ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำใบยอที่ฉีกไว้แล้วลงไปลวกสักพัก เพื่อให้รสขมมันออกไป แล้วนำขึ้นมาน๊อกด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง พักไว้ก่อน

  2. นำเครื่องแกง มาเคี่ยวกับหางกะทิ ให้หอม เเล้วใส่ปลาลงไป

  3. รอปลาสุกแล้วเติมเครื่องปรุงชิมรสให้ได้ที่

  4. เติมหัวกะทิส่วนที่เหลือลงไป พร้อมกับใสใบยอที่ลวกไว้

  5. รอกะทิเดือดชิมรสเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แล้วยกลงตักใส่ชาม พร้อมเสริฟได้เลยค่ะ 

กินอาหารทั้งทีก็ต้องมีประโยชน์บ้างค่ะ เรามาดูกันค่ะว่าใบยอมีประโยชน์กับร่างกายอย่างไร 

  • ใบสดนำมาต้มน้ำดื่ม ได้ หรือตากแห้งบดชงเป็นชาดื่มได้ (เพิ่งรู้ว่าทำชาได้ด้วย) 

  • ช่วยแก้อาการจุกเสียดท้อง แก้ท้องร่วง

  • ช่วยแก้โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ช่วยเรื่องโรคมะเร็ง ได้อีกด้วย

  • ช่วยเรื่องวัณโรค แก้ไอ ขับเสมหะ ลดไข้

  • ช่วยป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด 

  • ช่วยขับประจำเดือน แก้อาการคลื่นไส้ วิงเวียนได้ดี เป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงเลยข้อนี้

  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย ตามข้อต่าง ๆ 


นี่แค่สรรพคุณของใบเท่านั้นนะคะ ยังเยอะขนาดนี้ เพราะลูกยอก็มีประโยชน์มากมายอีกเหมือนกันค่ะ ลองเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับลูกยอในอินเทอร์เน็ต ดูค่ะแล้วจะรู้ว่าควรต้องปลูกต้นยอไว้ติดบ้านเลยค่ะ 



แกงปลาดุกใบยอ เมนูบ้าน ๆ อาหารที่มีประโยชน์สูง รสชาติเผ็ดจากเครื่องแกงเผ็ด หอมมันจากน้ำกะทิ กลิ่นหอมของใบยอ กินคู่กับปลาดุกชิ้นโต เข้ากั๊น เข้ากัน รสเค็มจากน้ำปลาดี เป็นแกงที่อร่อย หน้าตาดีชวนกินดั่งเช่นเมนูอื่น ๆ ของอาหารไทย วัตถุดิบก็หาง่าย มีไม่กี่อย่างก็ รังสรรค์เมนูนี้ได้แล้ว ได้ทั้งความอร่อย ทั้งประโยชน์กับร่างกาย สรรพคุณมากมายที่มีอยู่ในใบยอ อาจช่วยให้อาการบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวเราดีขึ้นก็ได้ค่ะ หลังจากอ่านบทความนี้จบ ไปหาต้นยอมาปลูกไว้ติดบ้านกันนะคะ…


แล้วเจอกันในเมนูต่อไปค่ะ thank you 

ติดตามผลงานอื่น ๆ 👇👇👇

fanpage facebook


YouTube

Blockdit

Blogger

Trueid


พูดคุย สอบถาม


https://line.me/ti/p/S9ReekcXr-


https://www.facebook.com/profile.php?id=100001454636104

_____________________

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563

น้ำพริกปลาร้าหมูสับ

 น้ำพริกปลาร้าหมูสับ



เอ๊ะยังไง ?  ขึ้นชื่อว่าน้ำพริกปลาร้า แต่ทำไมต้องมีหมูสับด้วย หลายคนคงสงสัยใช่มั้ยคะ ใช่แล้วค่ะผู้เขียนบอกไม่ผิด น้ำพริกปลาร้าจริง ๆ กินกับผักสด หรือผักต้ม อย่างที่เราเคยกินกันนี่แหละ แต่ความอร่อยมันอยู่ตรงหมูมามีส่วนร่วมด้วยนี่แหละค่ะ ผู้เขียนจะมาบอกเคล็ดลับความอร่อยของน้ำพริกปลาร้าบ้าน ๆ ว่าทำยังไงให้อร่อยล้ำแบบไม่ธรรมดาค่ะ 


ความจริงแล้วปลาร้าของไทยเราเนี่ย นำมาทำน้ำพริกได้ตั้งหลายอย่างหลายแบบเลยค่ะ ทั้งตัวปลาร้า และน้ำปลาร้า ตัวผู้เขียนเองให้นิยามกับน้ำปลาร้าว่าเป็นน้ำมหัศจรรย์ นำไปใส่อาหารอะไรก็ทำให้ อร่อยและนัวขึ้นมาทันที ไม่รู้ใครรู้สึกแบบเดียวกับผู้เขียนบ้าง สำหรับคนที่ชอบกินปลาร้า แต่คนที่ไม่กินปลาร้าก็ว่ากันไปอีกเรื่องนึง อาจจะไม่รู้ความแซ่บนัวเป็นอย่างไร 


วกเข้ามาที่น้ำพริกปล้าร้าหมูสับ ที่ผู้เขียนนำเสนอไว้กันดีกว่าค่ะ ว่าหมูเข้าไปมีส่วนอะไรในน้ำพริกถ้วยนี้  เหตุก็มีอยู่ว่า ตัวผู้เขียนเห็นผักข้างบ้านกำลังงามน่าจิ้มกับน้ำพริกแซ่บ ๆ คิดว่าคงจะอร่อยน่าดู จึงค้นตู้เย็นเป็นการด่วน ทุกอย่างมีครบ ยกเว้นเนื้อปลาจะไปซื้อก็คงไม่ทัน เพราะบ้านอยู่ไกลจากตลาดมากพอสมควร  ตาเหลือบไปเห็นว่ายังมีเนื้อหมูสามชั้นอยู่ในตู้เย็น คิดได้ในทันทีว่าถ้าเราเอาหมูแทนเนื้อปลา ทำน้ำพริกล่ะจะเป็นไง จัดการทำทันทีเลยค่ะด้วยความอยากรู้ในรสชาติ  ผลที่ออกมา บอกเลยได้น้ำพริกปลาร้าหมูสับที่อร่อยมว๊ากกก มื้อนั้นทั้งข้าวทั้งผักทั้งน้ำพริก หมดเกลี้ยงเลยค่ะ  ผู้เขียนอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองทำกินดูค่ะ อาหารบ้าน ๆ ที่ข้าวจานเดียวไม่เคยพอแบบนี้ทำยังไง เดี๋ยวผู้เขียน จะแนะนำวัตถุดิบ และวิธีการทำให้ค่ะ จะได้ไม่ต้องเดาว่าใส่อะไรบ้าง 

วัตถุดิบและเครื่องปรุง

  1. พริกเม็ดใหญ่สด 

  2. พริกชี้ฟ้าสด สีแดง

  3. หัวหอม

  4. กระเทียมจีน

  5. น้ำปลาร้าต้มสุก

  6. ผงนัว

  7. หมูติดมันหรือหมูสามชั้นเลาะหนังออก

วิธีทำ

  1. นำปลาร้าไปต้มกรองเอาแต่น้ำแยกไว้

  2. นำพริก หัวหอม กระเทียม ไปย่างไฟให้สุกหอม ถ้าชอบเผ็ดก็ใส่พริกชี้ฟ้าเยอะหน่อย

  3. นำหมูมาสับให้ละเอียด ใช้หมู 1ขีดต่อน้ำพริก 1 ถ้วย

  4. นำพริก หัวหอม กระเทียม ที่ย่างไฟไว้ โขลกพอหยาบ แล้วใส่หมูสับลงไปโขลกพร้อมเลย ขั้นตอนนี้สามารถใส่ผงนัวลงไปตำพร้อมได้เลย ถ้าคนไหนไม่ชอบใส่ผงนัวก็ไม่ต้องก็ได้ค่ะ

  5. เสร็จแล้วตักใส่หม้อ แล้วใส่น้ำปลาร้าที่เราต้มพักไว้ลงไปผสมให้พอดี อย่าให้เหลวจนเกินไปเดี๋ยวจะจิ้มผักไม่อร่อย 

  6. นำไปตั้งไฟให้หมูสุก ระหว่างตั้งไฟต้องคนตลอดอย่าให้หมูติดก้นหม้อและอย่าตั้งนานแค่เดือดนิดหน่อยเอาขึ้นได้เลย ชิมรสด้วยนะคะว่ามันเค็มไปมั้ยเพราะน้ำปลาร้ามันมีความเค็มอยู่แล้วถ้าเค็มไปให้เติมน้ำเปล่าได้นิดหน่อย

  7. ยกลงเสร็จแล้วตักใส่ถ้วยพร้อมจิ้มกับผักสดหรือผักต้มได้เลยค่ะรับรองอร่อยชัวร์ถ้าน้ำปลาร้าที่นำมาทำอร่อยหอมไม่มีกลิ่นเหม็นยังไงก็อร่อย เคล็ดลับความอร่อยอีกอย่าง คือ ต้องใช้หมูปนมันหรือหมูสามชั้นที่มีมันแทรกมาทำหมูสับตำน้ำพริกค่ะจึงจะอร่อย 


น้ำพริกปลาร้าถ้วยนี้บอกเลยว่าถูกมากเดี๋ยวผู้เขียนจะคิดต้นทุนในการทำน้ำพริกปลาร้าถ้วยนี้ไว้ให้เลยค่ะ

  • หมู 1 ขีด 15 บาท

  • พริก 5 บาท

  • หัวหอมกระเทียม 5 บาท

  • น้ำปลาร้า 5 บาท

  • รวมแล้ว 30 บาท 

แต่ผู้เขียนจ่ายแค่ค่าหมู 15 บาท กับ หัวหอม กระเทียม 5 บาท พริกเก็บจากข้างบ้านและปลาร้าก็ทำไว้กินเอง จึงจ่ายไปเพียง 20 บาท กับน้ำพริกถ้วยอร่อย 




น้ำพริกปลาร้าหมูสับ อาหารบ้าน ๆ รสชาติสุดแซ่บนัว ถูกลิ้นคนไทย ถูกใจสายปลาร้า เผ็ดหอมพริกสดย่างไฟ อร่อยนัวยิ่งขึ้นด้วยหมูปนมันสับและโขลกไปกับพริก กลิ่นหัวหอม กระเทียมที่ปน อยู่ในน้ำปลาร้าหอม ๆ แค่ได้กลิ่นก็หิวข้าวแล้วค่ะ เครื่องปรุงหาง่าย ไม่ยุ่งยากในวิธีทำ น้ำพริกถ้วยนี้ต้องกินกับผักสด หรือผักต้ม ดีต่อสุขภาพเราด้วย น้ำพริกถ้วยนี้จะมีแค่มันหมูที่เป็นมันจากธรรมชาติ ซึ่งมันมีอยู่นิดเดียวเองในน้ำพริกถ้วยนี้จึงไม่ทำให้อ้วนค่ะ แต่ก็ต้องระวังเรื่องรสชาติที่มันอร่อยมากเพราะจะทำให้กินข้าวเยอะขึ้นค่ะส่วนนี้ล่ะที่ต้องระวังสำหรับสาว ๆ ที่ห่วงสวย เพราะจะกินข้าวเพิ่มเป็น 2 เท่าแน่นอนฮ่า ๆ ๆ  ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะกินข้าวกับอะไร ลองทำน้ำพริกปลาร้าหมูสับค่ะ อาจจะได้ฮัมเพลงนี้ระหว่างตำน้ำพริกก็ได้…..   กินข้าวกับน้ำพริกสิจ๊ะถึงได้สะได้สวย บ้านน้องใช่ร่ำรวยมีแต่กุ้งกับหอย …...


เจอกันใหม่ในเมนูต่อไปค่ะ thank you 

ติดตามผลงานอื่น ๆ 👇

Blogger

Blockdit

fanpage facebook

YouTube

True id

พูดคุยสอบถาม

Line


Facebook

_____________________

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หมี่ผัดกระเฉดกุ้งสด

 หมี่ผัดกระเฉดกุ้งสด

อร่อยอย่างไรทำไมต้องหมี่กระเฉด ผู้เขียนได้กินหมี่ผัดกระเฉด ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนไปนั่งร้านอาหารริมทางที่พิษณุโลกกับเพื่อน  ตัวเพื่อนเป็นคนสั่งเมนูนี้มากิน เพราะผู้เขียนไม่รู้จักและไม่เคยกิน แต่พอเห็นจานของเพื่อนที่สั่งมา น่ากินมาก กลิ่นก็หอมมากด้วย จึงขอชิม ติดใจเลยอร่อยมาก สั่งแม่ค้าเพิ่มอีกจานทันที คราวนี้ล่ะไม่ได้แค่ชิมแล้วมีจานเป็นของตัวเองเลยจัดการกับหมี่ผัดกระเฉดได้เต็มที่เลย สรุปเกลี้ยงจานซิคะไม่เหลือแม้แต่ผักกระเฉดซักยอด ก็มันอร่อยมากจริง ๆ ค่ะ 


หลังจากวันนั้น ยังติดใจในรสชาติของหมี่ผัดกระเฉดแบบไม่รู้ลืม พยายามหาร้านที่ทำอร่อยแบบที่ได้กินครั้งแรกยังไม่เจอ และที่สำคัญร้านที่ทำเมนูนี้ไม่ค่อยมีเลยค่ะ  ในเมื่ออยากกินของอร่อย ก็ต้องลงมือทำเองสิ ลิ้นเราก็พอจะเดารสชาติได้นี่นาไม่น่าจะยากเกินที่เราจะทำ คิดอย่างมั่นใจ 555 แล้วการทำหมี่ผัดกระเฉดครั้งแรกก็เกิดขึ้น ผลที่ได้ก็คือ เละค่ะ ไม่อร่อยเลย ผักก็เหนียว กุ้งก็แข็ง หมี่ก็เละไม่เป็นเส้น รสชาติก็งั้น ๆ ไม่เหมือนกับที่เคยกินเลยอ่ะ ต้องมานั่งทบทวนรสชาติกันใหม่ว่าขาดอะไรไปบ้างในการทำครั้งแรก 


ยังไม่ละความพยายาม กับการทำหมี่ผัดกระเฉดกินเอง แล้วการทำหมี่ผัดกระเฉดครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง  ไม่อยากโม้เลยขอบอกว่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างแรง เพราะผ่านการลองผิดจากครั้งแรกมาแล้ว ครั้งนี้จึงคำนวณวัตถุดิบและเครื่องปรุงได้แม่นยำมากขึ้นจึงทำให้การผัดหมี่ครั้งนี้อร่อยตามความต้องการที่ได้ รสชาติเหมือนกับการได้กินครั้งแรกเป๊ะเลย 


อยากรู้กันแล้วใช่มั้ยล่ะว่ามีอะไรบ้างที่เป็นวัตถุดิบ และเครื่องปรุง ที่ทำหมี่ผัดกระเฉด ได้อร่อยมิรู้ลืม เรามาดูกันเลย 

  1. เส้นหมี่ขาวแช่น้ำให้นุ่ม

  2. ผักกระเฉดเด็ดเอาแต่ยอดอ่อน

  3. กุ้งแกะเปลือกผ่าหลัง แยกส่วนที่เป็นมันกุ้งไว้ต่างหาก 

  4. พริกชี้ฟ้าแดงโขลกหยาบ ๆ 

  5. กระเทียมสับ

  6. น้ำปลา

  7. น้ำตาลปี๊บ

  8. น้ำมะขามเปียก

  9. น้ำมันหอย

  10. น้ำมันพืชสำหรับผัด



ถ้าสะดวกเคี่ยวน้ำปลาน้ำตาลปี๊บน้ำมะขามเปียกในอัตราส่วนเท่า ๆ กันไว้เป็นน้ำซอสปรุงรสก็ได้นะคะซอสนี้เอาไว้ทำผัดอย่างอื่นได้หลายอย่างค่ะ

วิธีทำค่ะ

  1. นำน้ำมันลงกระทะนำพริกชี้ฟ้าที่โขลกไว้กับกระเทียมสับลงไปผัดให้หอม 

  2. เติมน้ำปลาน้ำตาลน้ำมะขามลง นำมันกุ้งที่แยกไว้ลงไปผัด อย่าใช้ไฟแรงมากนะคะขั้นตอนนี้

  3. เมื่อได้ที่แล้วนำเส้นหมี่ลงไปผัด คลุกให้ทั่วให้น้ำซอสซึมทั่วเส้นหมี่ 

  4. แล้วนำกุ้งลงไปผัดในขั้นตอนนี้ พร้อมเติมน้ำมันหอยลงไป 

  5. ชิมรสให้พอดีกับที่เราต้องการ  แล้วใส่ผักกระเฉดในขั้นตอนสุดท้าย เร่งไฟขึ้นมาอีกนิดนึง 

  6. อย่าผัดผักนาน แค่พอสุก ถ้าผัดนานผักจะเหนียว ไม่อร่อย กุ้งและผักจะสุกพร้อมกันพอดี  กุ้งเนื้อจะเด้งดึ๋ง ไม่แข็งไม่หดตัว ผักสียังเขียวสด กรอบน่ากิน ที่สำคัญจะมีกลิ่นหอมมาก เพราะผักกระเฉดมีกลิ่นเฉพาะตัวอยู่แล้ว ยิ่งมาผสมอยู่กับเครื่องปรุงทั้งหมดที่ใส่ลงไป ยิ่งทำให้หอมมากขึ้นค่ะ



ความจริงแล้วการทำอาหารกินเองผู้เขียนจะไม่ค่อยคิดว่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ได้มาคืออาหารที่เราทำเอง แต่เมนูนี้ผู้เขียนจะลองคำนวณ งบประมาณให้ค่ะว่าจ่ายไปเท่าไหร่ต่างจากไปสั่งซื้อกินตามร้านมากน้อยเท่าใด 

  • เส้นหมี่ 5 บาท

  • กุ้ง 50 บาท

  • ผักกระเฉด 10 บาท

  • น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขาม 10 บาท

  • น้ำมันหอย น้ำมันพืช กระเทียม 10 บาท

  • รวมแล้ว 85 บาท 

ถือว่าราคาใกล้เคียงกับการไปซื้อกินค่ะ เคยสั่งมาจานละ 100 -120 บาท  



หมี่ผัดกระเฉดรสชาติถึงใจ เผ็ดแซ่บด้วยพริกชี้ฟ้าแดง เค็มเปรี้ยวหวาน กลมกล่อมด้วยรสมะขามน้ำตาลปี๊บและน้ำปลาอย่างดี มีความมันและหอมจากมันกุ้ง อันนี้นัวมากขอบอก และกลิ่นหอมของผักกระเฉด ที่ผัดพอกรอบอร่อยมาก และกุ้งที่เนื้อเด้งดึ๋งมันเข้ากันสุด ๆ กับเมนูนี้ ใครที่ชอบอาหารรสจัด และกลมกล่อมในแบบฉบับอาหารไทยรสแซ่บอยากให้ลองเมนูนี้ค่ะ แล้วจะติดใจขอบอก😋😋😋


ติดตามผลงานอื่น ๆ 👇

Blogger

Blockdit

YouTube

fanpage facebook

Trueid


ทักทาย พูดคุย


Line

Facebook


_____________________

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

น้ำกะทิลำไย

 น้ำกะทิลำไย 


ทำง่าย ๆ จากผลไม้กลายเป็นขนมแสนอร่อย  ลำไยเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด บางครั้งหวานจนรู้สึกแสบคอ ถ้าคนไหนไม่ชอบหวานจัดก็อาจจะกินได้ไม่เยอะ แต่ตัวผู้เขียนเองกินได้ตลอดจะหวานมากหวานน้อยก็ชอบทั้งนั้น  และก็มีสมาชิกในบ้านของผู้เขียนเองที่ไม่ค่อยชอบรสหวานจัดของลำไย แต่ก็อยากกิน ตัวผู้เขียนชอบทำเมนูใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำอยู่แล้วจึงลองคิดทำเมนูลำไยที่ไม่ค่อยหวานแล้วกินง่ายไม่แสบคอด้วย จนเกิดเมนูนี้ขึ้นมานั่นคือ น้ำกะทิลำไยค่ะ 


เมนูนี้จะบอกว่าทำง่ายมาก ๆ ให้หัดทำครั้งแรกก็ยังทำได้เลยค่ะ วัตถุดิบก็ใช้แค่ 3 อย่างก็ทำขนมได้แล้ว (มันง่ายขนาดนั้นเชียว) อันนี้เรื่องจริงแท้แน่นอนค่ะ ขั้นตอนที่ใช้เวลาเยอะที่สุดคงเป็นการคว้านเมล็ดลำไยมั้งคะ ยิ่งถ้าได้ลำไยลูกใหญ่ ๆ คว้านเมล็ดง่ายก็ยิ่งเร็วขึ้นไปอีก ยิ่งแม่บ้านยุคใหม่นะไม่ต้องนั่งขูดมะพร้าวเลยใช้กะทิกล่องสำเร็จรูป ยิ่งง่าย ยิ่งเร็วขึ้นไปอีก พูดเหมือนโม้ 5 นาทีก็ได้กินขนมนี้แล้วค่ะ ถ้าไม่รวมเวลาคว้านเม็ด  อ่านแล้วเริ่มอยากทำกันแล้วใช่มั้ยคะ มา ๆ เดี๋ยวผู้เขียนจะพาไปดูว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้างค่ะ


  • ลำไยคว้านเมล็ดเรียบร้อยแล้ว

  • หัวกะทิหรือกะทิกล่องก็ได้ค่ะ ตัวผู้เขียนเองชอบใช้กะทิกล่องในการทำขนมเพราะมันจะได้ความหอมและความข้นของกะทิค่ะ 

  • เกลือป่นนิดหน่อย 


ครบแล้วค่ะวัตถุดิบ มีแค่นี้จริง ๆ


มาดูวิธีทำกันเลยค่ะ 

  • นำหัวกะทิตั้งไฟ เติมเกลือ ชิมให้มีรสเค็มนิดหน่อย ห้ามเค็มจัดนะ เดี๋ยวหมดอร่อย

  • คนตลอดนะคะ อย่าให้กะทิแตกมัน เดี๋ยวไม่อร่อย 

  • เติมเนื้อลำไยลงไป คนให้ทั่ว ไม่ต้องให้เดือดจัดเดี๋ยวเนื้อลำไยไม่กรอบ

  • พอเดือดปุด ๆ ขึ้นนิดนึงก็ยกลง ตักใส่ถ้วยสวย ๆ กินได้เลย หรือถ้าชอบกินแบบเย็น ๆ ก็ใส่น้ำแข็งป่นได้ค่ะ แต่ความหวานจะลดน้อยลง ถ้ามีน้ำเชื่อมก็ใช้ราดได้เลย แต่ผู้เขียนชอบกินกับกะทิแบบนี้มากกว่า


ง่ายมั้ยคะขั้นตอนการทำมีแค่นี้จริง ๆ แต่ให้เชื่อเถอะเป็นเมนูที่อร่อยมาก ๆ อีกเมนูนึงเลยค่ะ รสชาติของเมนูนี้ ความหวานกรอบจากเนื้อลำไยเองก็เพียงพอแล้วไม่ต้องเติมน้ำตาลเลยสำหรับผู้เขียนนะ ความหอมมันของกะทิ ช่วยลดความหวานที่แสบคอ เปลี่ยนเป็นความหวานหอมละมุนลิ้นกินง่ายขึ้น รสเค็มนิด ๆ ช่วยตัดความเลี่ยนของกะทิ ช่วยให้ความกลมกล่อมลงตัวยิ่งขึ้น หอม หวาน มัน เค็ม มันคือสูตรความอร่อยที่ลงตัวอยู่แล้วของขนมไทย 


น้ำกะทิลำไย ขนมทำง่าย จากผลไม้ตามฤดูกาล เปลี่ยนความหวานแสบคอ ให้เป็นขนมใส่น้ำกะทิ ที่หวานนุ่มชุ่มละมุนลิ้น ทั้งกลิ่นหอมของมะพร้าวและน้ำกะทิอบควันเทียน อีกทั้งความหอมของกลิ่นลำไย เข้ากันได้อย่างลงตัว เชื่อเถอะถ้าได้ลอง ถ้วยเดียวคงไม่พอ ช่วงนี้ลำไยราคาไม่แพง รังสรรค์เมนูนี้เป็นของหวานตบท้ายให้กลับสมาชิกในครอบครัวกันนะคะ รับรองค่ะว่าได้ใจคนที่ชอบขนมหวานแบบไทย ๆ อย่างแน่นอน 


เจอกันใหม่กับเมนูต่อไปอร่อยแน่นอน ☺️☺️☺️

การทำอาหารคืองานศิลปะอีกอย่างหนึ่ง และถ้าการถ่ายภาพอาหารที่เราทำมันคืองานศิลปะอีกอย่างหนึ่งเช่นกันล่ะ ภาพถ่ายจะสื่อทุกอย่างออกมาได้ดี ถ้ามีเทคนิคของแต่ละช็อต งานศิลป์ก็ควรคู่กับคนที่มีจินตนาการ รับถ่ายภาพ รับถ่ายและตัดต่อวีดีโอตกแต่งภาพ

📸📱🎥✴️⭐🌟✨✨

ทักทายพูดคุย

Line

Facebook


ผลงานอื่น ๆ 

Blogger

Blockdit

fanpage facebook

YouTube

Trueid

_____________________

รีวิว พรีมาแคป-1000

เกิดเป็นหญิงแท้จริงนั้นลำบาก คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงอยู่มากทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะวันนั้นของเดือน ทั้งหงุดหงิด ทั้งเลอะเทอะเฉอะแฉะ ไม่สบายตัว ถ้า...